วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อัจฉริยภาพจากการค้นพบความจริงตามธรรมชาติ

คนทุกคนเกิดมาพร้อมกับความต้องการขั้นพื้นฐานเพื่อการอยู่รอด และมีความสุข อยากรวย อยากสวย หรือหล่อ อยากฉลาด อยากมีสุขภาพดี อยากมีอายุยืน อยากมีชื่อเสียง อยากมีอำนาจ อยากชนะ ด้วยความอยากนานัปการ และความไม่รู้หรือความโง่ คนเกิดมาพร้อมความอยาก และความโง่ แล้วเริ่มแสวงหากระทำสิ่งต่างๆที่ตอบสนองความอยาก และแสวงหาความรู้เพื่อพ้นความโง่ มีการพัฒนาสมองคิดด้วยรูปแบบต่างๆ เดิมทีใช้การอ้อนวอนขอสิ่งต่างๆเพื่อให้ตนมีความสุข แล้วเริ่มคิดอย่างมีเหตุผลแสวงหาด้วยสติปัญญา
อัจฉริยภาพ หรือความฉลาดอาจสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว การคิดออกจากรูปแบบเดิมสู่ความสำเร็จตามธรรมชาติ ผู้ที่ฉลาดที่สุดที่ค้นพบความจริงตามธรรมชาติพัฒนาสมองมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเลิกการคิดแบบเดิม ในเรื่องการหาทางพ้นทุกข์ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ตาย คิดหาทางพ้นจากความโง่ที่นำไปสู่ความทุกข์ สู่ความฉลาดที่นำไปสู่ความสุขที่แท้จริง สติปัญญาหรือความฉลาดที่รู้ความจริงทางธรรมชาติ รู้เหตุรู้ผลรู้แนวทางที่นำไปสู่ความฉลาดสูงสุด มีผู้ที่คิดได้สำเร็จและพ้นทุกข์มากมาย มีทั้งผู้ที่ถ่ายทอดวิธีคิดวิธีปฏิบัติแก่ผู้อื่น เกิดคำสอนหรือศาสนาขึ้น เช่น ศาสนาพุทธ คำสอนเพื่อความรู้ ซึ่งไม่ว่าจะมีคำสอนหรือไม่ ความจริงตามธรรมชาติมีให้เห็นอยู่อย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับมนุษย์ผู้นั้นจะเห็นความจริงนั้นหรือไม่ เมื่อใดที่เห็นความจริงรู้ความจริงเมื่อนั้นก็ฉลาด เป็นเรื่องง่ายมากแต่คนไปทำให้ยุ่งยากด้วยกระบวนการวิธีต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น จูฬปันถก มีนักบวชที่โง่ ผู้พี่สั่งสอนเท่าไรก็ไม่ฉลาดสั่งให้ท่องบทสวดก็จำไม่ได้ เมื่ออัจฉริยผู้คิดค้นความจริงมาสอนด้วยตนเอง สอนให้มองเห็นความจริงตามธรรมชาติ เอามือถูผ้าที่ขาวสะอาด แล้วพิจารณาความขาวที่เริ่มไม่ขาวเมื่อสัมผัสกับมือ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่มือสัมผัสผ้าขาว เปลี่ยนสี เห็นความจริง การเปลี่ยนแปลง เห็นว่าทุกสิ่งมีเกิดมีดับ ความขาวไม่คงทนถาวร ขาวแล้วไม่ขาว เห็นว่าร่างกายเป็นของสกปรก ไม่มีความอยากยินดีในร่างกายเลิกความคิดแบบเดิม หลุดพ้นจากความอยาก และความโง่ สิ้นสุดความอยาก สู่ความฉลาด อัจฉริยภาพทันที จากตัวอย่างนี้จึงเห็นได้ว่าสิ่งที่อัจฉริยบุคคลสอนนั้นเป็นความรู้จริงทางธรรมชาติ ไม่ใช่คัมภีร์ หรือบทสวดที่นำไปสู่ความฉลาด ท่านสอนอย่างง่ายๆและรู้ว่าจะสอนผู้ใดด้วยวิธีการอย่างใดให้บรรลุความฉลาดเข้าใจสิ่งที่ท่านสอน ส่วนบทสวดต่างๆเพื่อถ่ายทอดวิธีการคิดสู่คนอื่นๆ บางครั้งคนหลงคิดว่าตนฉลาดที่สุดที่จำได้หรือจำวิธีการได้ แต่กลับเป็นคนโง่ที่สุดที่หลงอยู่กับความโง่นั้น ต่อเมื่อผู้ที่ฉลาดจริงมาสอนและสอนอย่างง่ายๆไม่สลับซับซ้อนเกิดอัจฉริยภาพจากความจริงทางธรรมชาติขึ้น การหลุดพ้นจากความโง่ ความไม่รู้สู่ความฉลาดสูงสุด
การเรียนรู้แบบเดิมที่สอนกันมาอาจไม่ใช่วิธีนำไปสู่ความฉลาดแต่นำไปสู่ความหลง โง่อยู่กบความโง่นั้นตลอดกาล ต่อเมื่อศึกษาเรียนรู้พิจารณาพัฒนาสมองรู้เห็นความจริงทางธรรมชาติ การคิดอย่างอิสระ ออกจากโลกแห่งความคิดแบบเดิม รู้เห็นด้วยความจริงทางธรรมชาติเป็นวิธีการสู่ความเป็นอัจฉริยภาพอย่างรวดเร็วและดีที่สุด
การคิดให้สำเร็จสมหวังตามต้องการ เรียกว่ามโนมยิทธิ อิทธิวิธี เป็นการใช้คลื่นพลังสมองควบคุมสรรพสิ่งตามธรรมชาติให้เป็นไปตามที่ต้องการ สามารถทำได้ และมีผู้ทำสำเร็จมากมายเหนือกว่าวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่ปรับเปลี่ยนธรรมชาติด้วยปัจจัยภายนอก ทั้งนี้ผู้คิดได้จะรู้ว่าแม้การเล่นฤทธิด้วยอำนาจจิตดังกล่าวยังไม่ใช่จุดสูงสุดของความฉลาด ซึ่งต้องการพ้นจากโลกแห่งความทุกข์ ควรคิดให้เห็นความจริง และไม่ยึดติดด้วยความอยาก หรือบางคนเรียกว่าปล่อยวาง จึงจะพ้นความโง่ สู่ความฉลาด เช่นเดียวกับนักบวชที่ตอนแรกโง่แล้วกลับกลายเป็นฉลาดอัจฉริยทันทีด้วยการถูผ้าขาวและพิจารณาสีขาว เห็นการเปลี่ยนแปลง เลิกยึดติด ปล่อยวางพ้นความโง่ และ สามารถเล่นฤทธิ์ ใช้คลื่นพลังสมองบังคับความคิดให้คนอื่นเห็นว่ามีตนเองหลายคนได้ การสะกดจิต หรือการใช้คลื่นพลังสมอง มีวิธีการฝึกให้ได้รับผลสำเร็จจริง ทุกสิ่งที่เขียนมาพิสูจน์ได้ตามหลักความจริง มีเหตุมีผลและกระทำได้จริง
การควบคุมคลื่นพลังสมองเพื่อพัฒนาสมองสู่ขั้นสูงสุดฉลาดที่สุดทำได้จริงและทำได้ง่ายซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปด้วยการฝึกจิตตามคำสอนของอัจฉริยบุคคลผู้รู้จริง โดยอ้างอิงจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค แนวทางสู่ความบริสุทธ์ ซึ่งจะสังเคราะห์ความรู้จากการแยกวิธีต่างๆ 40วิธี ให้เข้าใจง่ายและทำสำเร็จในเวลาอันสั้น