วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความฉลาดในชีวิตประจำวัน

คนมีสมองไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์ มีความฉลาดในการคิด การพูด การกระทำ สำหรับผู้ที่ยังข้องเกี่ยวเรื่องทางโลก ยังไม่คิดจะพ้นทุกข์ ต้องการใช้ความฉลาดเพื่อให้ตนประสบความสำเร็จดังที่มุ่งหวังในชีวิตประจำวัน ควรเริ่มต้นจาก รู้วิธีการใช้สมองให้เต็มความสามารถ กำจัดสิ่งรบกวนภายนอก และ ภายใน อันได้แก่ ความคิดฟุ้งซ่าน,ความโกรธ,อารมณ์ความหลงรัก,ความง่วงนอน,ความลังเลสงสัย โดยการทำสมองให้ปรอดโปร่ง มีสติรู้ตัวว่าคิดเรื่องอะไร คิดดี คิดถูกต้อง คิดรวดเร็วหรือไม่ เมื่อรู้ตัวว่าเปลืองพลังงานสมองไปกับสิ่งรบกวนก็รู้จักสงบความคิดเริ่มคิดในทางที่ดี เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสม ผลลัพธ์มักจะดีเสมอ เวลาที่คิดด้วยสมองที่ปรอดโปร่ง และมีความมั่นใจในตนเอง โชคชะตาก็สู้สมองและสองมือที่ตนทำไม่ได้ ไม่ปล่อยให้ชีวิตผูกติดกับดวงชะตา รู้จักคิดลิขิตชีวิตตนเอง สรรพสิ่งไม่เคยหยุดนิ่ง แม้แต่ต้นไม้ก้อนหินล้วนเคลื่อนที่ทุกเวลา เพราะว่าโลกหมุนตลอดเวลา ความคิดก็เช่นเดียวกันไม่เคยหยุด ดังนั้นควรเข้าใจความคิด และควบคุมให้คิดสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ ก็จะเกิดความฉลาดซึ่งเป็นเรื่องง่ายมากจริงๆ เมื่อใดที่รู้จักใช้สมองเต็มความสามารถจะพบความมหัศจรรย์ของพลังสมองที่ไร้ขีดจำกัด จะเรียกความฉลาดหรืออัจฉริยะก็แล้วแต่จพูดกันไป ความเพียรพยายามทำในสิ่งที่ง่ายย่อมสำเร็จได้ง่ายกว่าการคิดในสิ่งที่ยาก ความฉลาดจึงเกิดขึ้นด้วยวิธีการง่ายๆดังกล่าว

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แนวทางของการเป็นอัจฉริยะ

เมื่อดูตัวอย่างอัจฉริยบุคคลแล้วจะพบแนวทางที่ท่านสอนซึ่งการนำไปใช้เพื่อให้เกิดความคิดที่ดีหรือฉลาด ขึ้นกับคนแต่ละคนจะรู้จักพิจารณาหรือคิดได้หรือไม่ บางคนใช้เวลาไม่นาน บางคนใช้เวลานาน บางคนก็ไม่สามารถเข้าใจ ทั้งที่เป็นสิ่งที่ง่าย เหมือนหญ้าปากคอก ดังนั้นการจะฉลาดขึ้นหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องรู้จักคิดจนเข้าใจจึงจะพบความจริงของความฉลาดที่แท้จริง
แนวทางฝึกนั้นไม่ตึง ไม่หย่อน ไม่เคร่งเครียด ฝึกได้ในสถานที่สะดวก ที่สบายกับแต่ละคน รู้จักฝึกคิดแก้ปัญหาจากเรื่องง่ายๆที่ตนประสบ ถึงเรื่องที่ยากที่สุด คือการพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายเพราะมีอัจฉริยะบุคคลสอนไว้แล้วแทบไม่ต้องคิด เพียงปฏิบัติตามก็ถึงความเป็นอัจฉริยะ
สำหรับปุถุชนที่ยังมีความอยากเกิด อยากอยู่ในโลก ก็ต้องรู้จักคิดดีเพื่ออยู่ในโลกที่ดี ไม่เดือดร้อน
การคิดไม่ดีเป็นความโง่ การอยากเกิดมาพบทุกข์ ก็เป็นความโง่ ถ้าอยากฉลาดก็ควรคิดอย่างอัจฉริยที่แท้จริง
ฝึกสมองได้ง่าย เร็ว ไม่เสียค่าใช้จ่าย สะดวกทุกที่ทุกเวลา ทำได้จริง ฉลาดได้จริง เป็นอัจฉริยะได้จริง

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เรียนรู้จากอัจฉริยะสู่ความเป็นอัจฉริยะ

การเรียนรู้โดยวิธีลัดสั้นสุดจากความจริงทางธรรมชาติเผยให้เห็นความฉลาดที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถนำมาใช้ได้หรือไม่ คนเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความโง่ หรือเกิดมาจากความโง่ความไม่รู้ ดังนั้นคนทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน มีสมองที่ไม่รู้ แล้วเริ่มเรียนเพื่อความรู้ มุ่งสู่ความฉลาด ทุกคนมีโอกาสฉลาดหรือเป็นอัจฉริยะได้ ขึ้นกับว่าจะได้ครูที่ดีหรืออัจฉริยะมาสอน และรู้วิธีการคิด การที่อัจฉริยบุคคลสามารถคิดวิธีการต่างๆเพื่อฝึกสมอง หาทางแก้ปัญหา พ้นทุกข์ และอัจฉริยะแท้จริงสามารถถ่ายทอดความรู้และวิธีการอย่างง่ายดาย ลัดสั้น ตรงเป้าหมาย จึงเป็นครูอัจฉริยะอย่างแท้จริง ส่วนเทคนิดการสอนหรือกรณีศึกษาที่บันทึกและถ่ายทอดมาเป็นคัมภีร์เล่มใหญ่3เล่ม เพื่อให้รู้ถึงความฉลาดของอัจฉริยะบุคคล แท้จริงสิ่งที่ท่านสอน ง่าย เร็ว และถูกต้อง เมื่อได้ศึกษาพิจารณาจนเข้าใจอย่างแท้จริง ก็จะพ้นจากความโง่ที่นำไปเกิดให้้โง่ต่อๆไป เมื่อเป็นผู้รู้แล้วก็ไม่เป็นคนโง่ เป็นคนฉลาด พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
มีกรณีศึกษามากมายที่แสดงถึงการนำไปสู่ความฉลาดอย่างไม่มีขอบเขต เช่น เมื่อพิจารณาสายน้ำไหล เห็นการเกิดดับของสรรพสิ่ง เลิกยึดถือหรือคิดอยาก พ้นความอยาก จากความจริง ,การนั่งฟังอธิบายพิจารณาตามความเป็นจริงที่ข้างถนนบ้าง,ป่า,บ้าน พิจารณาด้วยตนเองจนเข้าใจ เช่น คำพูดสั้นๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งสิ่งนั้นดับไป คนฉลาดจะเข้าใจในฉับพลัน อัจฉริยะบุคคลก็รู้ว่าลุกศิษย์พ้นจากความโง่ รู้แล้ว หรือที่เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรม คนโง่เหมือนคนตาบอดจมอยู่กับความมืด ความไม่รู้ คนฉลาดรู้แล้วเหมือนคนตาดีมองเห้น รู้ความจริง คนโง่นั่งคิดทั้งวันก็ไม่เข้าใจ ต่อเมื่อพบสภาวะความจริงดังกล่าวแล้วพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงจะเข้าใจ ไม่เกิด ก็ไม่ทุกข์ ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย จะไม่เกิด ก็ต้องเบื่อที่จะเกิด หรือไม่อยากเกิดเพื่อพบความโง่หรือความทุกข์ สลัดความอยาก ความโง่ มุ่งสู่ความฉลาดเป็นอัจฉริยะได้อย่างง่ายดาย นักบวชบางท่านเพียงฟังคำสอนดังกล่าวก็เข้าใจ และพบความฉลาดในฉับพลัน บางท่านไม่ได้ออกบวช เป็นชาวบ้านก็ฉลาดได้ เป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา คนป่วย คนบ้าขาดสติ ท่านผู้เป็นอัจฉริยะสามารถสอนให้เข้าใจด้วยวิธีการต่างๆ สรุป มีสติตั้งสติ คิดพิจารณาความจริง เข้าใจ ละความอยาก ละการเกิด เลิกความทุกข์ เข้าสู่บรมสุข
อัจฉริยะบุคคลทรงสอนคนด้วยความรัก สอนให้รอดจากความทุกข์ เป็นอัจฉริยะเช่นเดียวกับที่ท่านเป็น ซึ่งเมื่อพิจารณาสิ่งที่ท่านทำ วิธีที่ท่านคิด คำสอนที่ท่านถ่ายทอดไว้ แม้ตัวท่านจะตายไปนานแล้ว คำสอนก็ยังมีประโยชน์ตลอดกาล เมื่อมีผู้คิดเป็นและเข้าใจ

หัวใจสำคัญ คือ คิดอย่างมีเหตุผลจากความจริงทางธรรมชาติ คิดเพื่อละความอยาก และเลิกความคิดอยาก ไม่มีผู้คิด สู่ความฉลาดอัจฉริยะที่ไม่ต้องคิดอีกต่อไป เพราะรู้ความจริงทั้งมวล

ส่วนการปฏิบัติต่างๆเพื่อคิดดี คิดถูกต้องและคิดรวดเร็ว เช่น ไม่ทำชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ มีความอดทน มีเป็าหมายเพื่อพ้นทุกข์(อัจฉริยะมนิพพาน) ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่ากล่าว ไม่ฆ่า รักษาศีล(ความเป็นปกติ)ทานอาหารพอประมาณ สำรวมในที่นั่งที่นอนอันสงบ เป็นเหตุที่นำไปสู่ความดีจึงได้รับผลดี การปฏิบัติตรงข้ามเป็นเหตุนำไปสู่ความชั่วก็จะได้รับผลชั่ว จึงเกิดความจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งเป็นความจริง เมื่อปฏิบัติดังกล่าวก็จะพ้นเรื่องเดือดร้อน มีแต่ความสงบสุข แล้วทำจีตให้บริสุทธิหรือทำจิตให้ยิ่ง คือการคิดดี ถูกต้อง ถึงความจริงดังกล่าว การทำให้เกิดสติ มีสมาธิ ด้วยวิธีการต่างๆ40วิธี แล้วใช้สมองพิจารณาความจริงจนเลิกความอยากเกิด ก็พ้นทุกข์ฉลาดเป็นอัจฉริยะอย่างง่ายดายในเวลาอันรวดเร็ว
ท่านทั้งหลายทั้งนักบวชหรือมิใช่นักบวช เกิดมาโชคดีที่ได้รับรู้เรียนรู้คำสอนที่ง่ายและมุ่งสู่ความฉลาดได้อย่างรวดเร็ว จึงควรฝึกสมองเพื่อเป็นอัจฉริยะตามท่านผู้เป็นอัจฉริยะที่แท้จริง เป็นผู้รู้ ผู้พ้นทุกข์
ความฉลาดไม่จำกัดเพศวัยอายุวรรณะ สามารถเป็นอัจฉริยะได้ทุกคน ด้วยความรู้และเข้าใจแบบเดียวกับอัจฉริยะบุคคลที่ท่านทรงสอนสิ่งที่ท่านทำได้จริงคิดได้จริง พ้นทุกข์จริงฉลาดจริง
หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจความจริงที่อัจฉริยะคิดและทำ เมื่ออยากฉลาดก็ต้องเรียนรู้จากคนฉลาด เพื่อความฉลาด

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทางลัดการสร้างความฉลาดด้วยการเรียนรู้ธรรมชาติ

ความฉลาด เป็นความสามารถของสมองที่จะคิดเลือกสิ่งที่ดีแก่ตน ตอบสนองความต้องการพื้นฐาน ซึ่งเป็นธรรมชาติ คนเราเกิดมาแล้วสื่อสารกันด้วยสัญญลักษณ์ที่เรียกว่าภาษาเพื่ออธิบายหรือเล่าสิ่งต่างๆให้ผู้อื่นเข้าใจ ภาษา คำศัพท์ต่างๆเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งต่างๆทางธรรมชาติ การเข้าใจ จำได้จากภาษาที่ใช้แทนสิ่งที่เป็นธรรมชาติ
การสร้างความฉลาดซึ่งเป็นธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติซึ่งเป็นจริงยิ่งกว่าคำอธิบายทางภาษา เช่น คำศัพท์ก้อนหิน แทนวัตถุที่แข็งมีน้ำหนักมาก เมื่อได้เห็นของจริงรับรู้และสัมผัสกับความจริงของสิ่งที่เรียกว่าก้อนหิน คนจะเข้าใจได้ดีกว่าการอธิบายด้วยคำศัพท์ทางภาษา หรือคำว่าความสุข อธิบายอย่างไร ก็ไม่ชัดเจนเท่ากับผู้ที่ได้รับรู้ความสุข(ความสมหวังตามต้องการ) ดังนั้นความฉลาดหรือฉลาดอย่างมาก (อัจฉริย)จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเป็นผู้ฉลาดเอง ซึ่งไม่ถูกจำกัดด้วยคำศัพท์ทางภาษาที่ใช้สื่อสาร ซึ่งมีคำศัพท์ที่สร้างขึ้นมากมายเมื่อมีการค้นพบสิ่งต่างๆทางธรรมชาติมากขึ้น
การเรียนรู้ทางธรรมชาติ เกิดศาสนาคำสอนใหม่ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ ค้นหาความจริงจากธรรมชาติ และมีกระบวนการที่ซับซ้อนวุ่นวายในการอธิบายสิ่งต่างๆที่เป็นธรรมชาติ ที่จริงวิทยาศาสตร์ยังล้าหลังศาสนาต่างๆอย่างมากโดยเฉพาะพุทธศาสนาคำสอนเพื่อความรู้ความจริงทางธรรมชาติ รวมทั้งการทำงานของร่างกายและจิตใจ เช่น กระบวนการทำงานของสมอง สิ่งกระตุ้นภายนอกหรือภายใน ตัวรับความรู้สึก การนำสัญญาณประสาทเข้าสู่สมอง การรับรู้ การคิด การจำ ความรู้สึกสุข ทุกข์หรือกลางๆ เกิดการตอบสนองด้วยการคิดการกระทำ หรือการพูด เช่นเมื่อมีรูปภาพ ตามองเห็นรูปภาพ ส่งสัญญาณประสาทเข้าสู่สมอง สมองรับรู้ว่ามีรูปภาพ คิดว่ารูปอะไร จำว่าเป็นรูปอะไร เกิดความรู้สึกไปตามสิ่งที่คิดว่าเป็นรูปนั้น รูปสวยพึงพอใจเกิดความสุข รูปน่ากลัวเกิดความทุกข์ ตอบสนองโดยเข้าไปดู เดินหนี หรือมองเฉยๆ เป็นต้น การเข้าใจกระบวนการทางธรรมชาติดังกล่าวทำให้เข้าใจวิธีจัดการกับปัญหาต่างๆที่เกิดจากการคิด การเข้าใจการคิด หรือรู้เหตุรู้ผลต่างๆ สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ พุทธศาสนา คำสอนเพื่อความรู้เป้นวิทยาศาสตร์มานานมุ่งสอนคนให้ฉลาดมีความรู้เท่าทันความจริงทางธรรมชาติด้วยธรรมชาติ ต้องการให้ฉลาดพ้นทุกข์ สู่ความสุข หาเหตุที่ทำให้พ้นทุกข์ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ตาย เมื่อความจริงทางธรรมชาติมีเกิดก็ต้องมีทุกข์มีเจ็บมีตาย ถ้าไม่เกิดก็ไม่ตาย ทำอย่างไรจะไม่ต้องเกิดมาพบความทุกข์ที่เป็นจริงทางธรรมชาติหาทางพ้นทุกข์วิธีที่ไม่ต้องมาเกิดอีก หลุดพ้นทุกข์จากโลกหรือธรรมชาติอยู่เหนือโลกหรือธรรมชาติ โดยรู้ว่าคนเกิดมาจากความอยาก และความโง่ เมื่อฉลาดที่สุดก็จะหาวิธีไม่อยาก ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายจากความเกิดเมื่อเห็นภัยของการเกิดมาพบความทุกข์
หรือพูดให้ง่ายตามวิธีของคนฉลาดอัจฉริย คือ ทำให้เห็นความจริงของภัยทางธรรมชาติเกิดแก่เจ็บตายทุกข์ เกิดความกลัว เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากมาเกิด และกลับเข้าสู่ธรรมชาติที่เป็นความสุขสงบ มีคำศัพท์ที่เรียกความสุขที่แท้จริง เช่น นิพพาน ปราศจากความร้อน สิ่งเสียดแทง
การจะรู้จักคำดังกล่าวไม่สำคัญเท่ารับรู้ตามความเป็นจริง เช่นลองลิ้มรสของความสุขง่ายๆที่คล้ายนิพพาน เช่น เดินจากที่ร้อนไปสู่ที่เย็นสบาย ก็จะรู้ว่านิพพานเป็นอย่างไรความสุขจากการพ้นความร้อนพบความเย็น นิพพานของจริงเป็นความสุขแท้ถาวร ต่างจากความสุขทางโลกที่ลองให้รับรู้ง่ายๆด้วยวิธีดังกล่าว บางคนสอนว่าเหมือนไปสู่แดนสุขาวดีสร้างภาพต่างๆเป็นสถานที่ที่ดูน่าอยู่มีความสุขมากมายเพื่อเปรียบเทียบ เช่น นักบวชบางคนมัวแต่คิดว่าจะเป็นอรหันต์อย่างไรมัวแต่คิดวิธีต่างๆอยากเป็นอรหันต์ ก็เป็นไม่ได้สักที บางท่านเลิกคิดปล่อยวาง กำลังจะล้มตัวลงนอนพ้นจากสภาวการอยากเกิด เลยบรรลุอรหันต์(ปราศจากความอยาก ที่เรียกว่ากิเลส) ขณะที่ไม่ได้คิด เพียงเลิกคิด เลิกอยาก ไม่อยู่ในท่านั่ง ไม่อยู่ในท่านอน กำลังจะล้มตัวลงนอนปล่อยวางทุกอย่างก็เกิดความฉลาดคิดได้เป็นอัจฉริยเพียงการเลิกคิดเลิกนั่ง ปล่อยวางล้มตัวลงนอน
คิดได้โดยการเลิกคิด อัจฉริยด้วยการเลิกอยาก

ทางลัดสู่ความฉลาดไม่ได้มาด้วยกระบวนการวิธีที่วุ่นวายซับซ้อน ด้วยความจำด้วยความรู้ด้วยวิทยาศาสตร์ ด้วยวิธีฝึกสมองวิธีต่างๆ40วิธีที่พัฒนาคลื่นพลังสมอง และไม่ได้มาด้วยความอยาก

ความฉลาดเกิดขึ้นได้ง่ายดายด้วยการเข้าใจความจริงทางธรรมชาติ ไม่ยุ่งยาก รวดเร็ว เกิดตามธรรมชาติของเหตุที่ส่งผล เช่น ไม่อยากเกิด ก็ไม่ต้องเกิด หมดความทุกข์ พบบรมสุข

ที่จริงพระพุทธเจ้า อัจฉริยบุคคล สอนสิ่งที่ง่ายๆไม่ยาก สอนให้ฉลาดอย่างรวดเร็ว เป็นอิสระด้วยความฉลาด ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย เด็ก ผู้หญิง คนแก่ คนใกล้ตาย ไม่จำกัดสถานที่ ข้างถนน ในป่า ในวัด ในเมือง ไม่จำกัดเวลา เช้า สาย บ่ายเย็นกลางคืน ไม่จำกัดสภาวะชนชั้น วรรณะ คน เทวดา สิ่งที่ไม่มีกาย นักบวช ชาวบ้าน ไม่จำกัดด้วยเครื่องนุ่งห่ม ไม่แสวงหาผลประโยชน์ สอนฟรี เพราะท่านต้องการให้คนฉลาดพ้นทุกข์ คำสอนเรียบง่าย สอนได้ตรงตามสภาวะของผู้ที่จะสอน เช่น ขุนนางเมาเหล้าเสียใจที่นางระบำสวยๆตาย เกิดความทุกข์สร่างเมา ท่านสอนเพียงไม่กี่ประโยคก็พ้นทุกข์เกิดความฉลาดเป็นอรหันต์ทั้งที่ไม่ได้บวช เมื่อใดเข้าใจความจริงทางธรรมชาติคือมีดวงตาเห็นธรรม เลิกอยาก เลิกคิดมาเกิดก็พ้นทุกข์ไม่กลับมาเกิดให้เจอทุกข์ ท่านไม่เคยสอนอะไรที่ยากเช่นการกระทำก่อนที่ท่านจะเป็นอัจฉริยบุคคล ท่านสอนง่ายๆรวดเร็วเมื่อท่านฉลาดในเวลาเพียงข้ามคืน แม้แต่เด็กก็บรรลุอรหันต์ปราศจากความอยากได้ พบกับความบรมสุขจริง


คนเราที่เกิดมาควรพัฒนาสมองเพื่อให้บรรลุสภาวธรรมชาติ อัจฉริย ฉลาดอย่างแท้จริง และพ้นทุกข์สู่บรมสุขให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีสมองที่ดี และไม่ควรไปเสียเวลากับวิธีที่ยุ่งยากซับซ้อน

ดังนั้นอาจสรุปวิธีการฝึกสมองเพื่ออัจฉริยที่ลัดสั้นเร็ว โดย กระบวนการทางธรรมชาติ ที่ไม่ยุ่งยาก พิจารณาให้เกิดความเข้าใจความจริงของเหตุผลทางธรรมชาติ แก้ไขที่เหตุก็ส่งผลให้เป็นไปตามต้องการ

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การสร้างความฉลาดเพื่อการเรียนรู้อย่างก้าวกระโดด

กระบวนการสร้างความฉลาดอย่างรวดเร็วและง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
การเรียนรู้ คนทุกคน เรียนมาตั้งแต่อยู่ในท้องจนคลอดออกมา เรียนรู้การหายใจ การดำรงชีวิต การเรียนความรู้ต่างๆจัดลำดับตามวัยต่างๆ อนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ส่วนการสร้างความฉลาดไม่มีขอบเขต สามารถกระทำได้ทุกวัยแม้แต่ในเด็กที่ยังไม่มีความรู้ ความฉลาดไม่ใช่ตัวเลขหรือสูตรคำนวน เป็นไปตามธรรมชาติเมื่อเข้าใจธรรมชาติก็ฉลาดทันที และสามารถใช้ความฉลาดมาเสริมการเรียนให้มีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน นักเรียนเรียนแบบจำได้แล้วรู้ แต่ไม่เข้าใจ การเรียนเพื่อให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จึงจะเรียกว่าฉลาด คนที่เรียนได้คะแนนสูงก็อาจไม่ฉลาด เหมือนคนที่รู้และเข้าใจจริง
การทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆทำให้เกิดความจำที่ยั่งยืน ลืมยาก ก่อนที่จะเข้าใจ สมองต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องที่สนใจ
การสร้างความฉลาด เริ่มจาก การตั้งวัตถุประสงค์ กำจัดสิ่งรบกวนภายนอกและภายในร่างกาย(ทำให้ความคิดปลอดโปร่ง) การสนใจจดจ่อกับเรื่องที่คิดทำ (สมาธิ) การตัดสินใจจากความรู้และข้อมูลต่างๆจาก ความจำ สร้างภาพให้เกิดขึ้นในใจ(มโนภาพ)เห็นเหตุเห็นผลของการกระทำ การคิดหนทางต่างๆและเลือกสิ่งที่ดีที่สุด(ความฉลาด) ที่สุดคือเข้าใจตนเองและเรื่องที่ต้องการ และรู้จักการชนะที่แท้จริง คือชนะใจตนเอง ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี เลือกทำแต่ความดี ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาสมองอย่างอัจฉริย กระบวนการคิดต่างๆเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีรูปแบบซ้ำๆ เมื่อฝึกฝนบ่อยๆจะเกิดความชำนาญคิดได้อย่างรวดเร็ว(เกิดปฏิภาณมไหวพริบ) สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว
คือคิดได้ดี คิดได้ถูกต้อง คิดได้รวดร็ว ตอบสนองอย่างเหมาะสม
การเรียนรู้จึงมีประสิทธิภาพ สามรถผ่านการสอบวัดผลการเรียนอย่างดี คะแนนเต็ม หรือสูง ระดับหัวกะทิ และสามารถสร้างสรรค์ความรู้ หรือคิดค้นสิ่งต่างๆได้มากมาย
ซึ่งเป็นสิ่งที่อัจฉริยทั้งหลายกระทำกันเกิดการเปลี่ยนแปลงโลก มีความเจิญทางวัตถุอย่างมาก รวมทั้งความเจริญด้านสติปัญญาซึ่งมีมานานก่อนการเจริญด้านวัตถุ
ความฉลาดสร้างได้ง่ายทุกที่ทุกเวลา
คนฉลาดย่อมเลือกทำสิ่งที่ดี ไม่ทำชั่ว คนโง่เท่านั้นที่ทำชั่ว คนซึ่งใช้ความฉลาดไปในทางชั่วคือผู้ที่พ่ายแพ้ตนเองไม่สามารถกระทำความดีที่เป็นสัญญลักษณ์ของคนฉลาด
เด็กที่ฉลาดจะพัฒนาสมองในทุกๆด้านอย่างอิสระ ไม่ควรจำกัดความสามารถของสมองเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง ควรพัฒนาสมองในทุกด้าน เพราะสามารถฉลาดรอบรู้เป็นพหูสูตร
การเข้าใจตนเองเหมือนการสะกดจิตตนเอง ฝึกการควบคุมให้คิดและทำดีเพื่อเอาชนะใจตนเองเป็นผู้ชนะที่บริสุทธิและแท้จริง
การควบคุมคลื่นพลังสมองเพื่อการพัฒนาสมองขั้นสูงจะบรรยายในโอกาสต่อไป

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การพัฒนาสมองกับการรักษาโรคทางสมอง

การพัฒนาสมอง ขั้นพื้นฐาน เพื่อการอยุ่รอดตอบสนองความต้องการ การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
ขั้นสูง พัฒนาพลังคลื่นสมอง(พลังจิต) ความเป็นอัจฉริย
เพื่อการการรักษาโรค ฟื้นฟูสภาพเซลล์
ดังกล่าวในตอนต้นถึงการวิเคราะห์วิธีการฝึกสมอง โดยเฉพาะการเข้าใจตนเอง(Autosuggestion) และลำดับขั้นในการฝึกเพื่อให้เข้าใจง่าย การรักษาโรคทางสมองหลายโรค ทั้งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และเกิดขึ้นในภายหลัง เช่น บาดเจ็บที่สมอง โรคติดเชื้อ เนื้องอก สมองเสื่อม สามารถป้องกันและรักษาโรคทางสมองได้ด้วยการพัฒนาสมอง สมองมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากอวัยวะอื่นๆ และควบคุมอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย โดยพลังงานไฟฟ้า สารเคมี ฮอร์โมน การสั่งการในระดับเซลล์หรือพันธุกรรมเกิดจากการควบคุมโดยกระบวนการพื้นฐานของเซลล์และระบบประสาท การพัฒนาสมองสามารถกระตุ้นระบบการทำงานระดับเซลล์หรือการเปลี่ยนแปลงด้านพันธุกรรม นอกจากปัจจัยภายนอกที่ก่อให้เกิดโรค มีโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของสมองที่กระทบต่อระบบต่างๆของร่างกาย เช่น ภาวะเครียดเกิดการหลั่งสารเคมีต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคกระเพราะอาหารเป็นแผล อาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดแตกในสมอง โรคหัวใจ ภาวะแปรปรวนของจิตประสาท เป็นต้น การฝึกพัฒนาสมองสามารถที่จะเปลี่ยนระบบพันธุกรรม เพิ่มอายุขัยของเซลล์ เพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์ และป้องกันการแปรปรวนทางพันธุกรรม(Mutation)ไปในทางที่ส่งผลร้ายเช่นการเกิดเซลล์เนื้องอก ทำให้เกิดการเปลี่ยนพันธุกรรมไปในทางที่ดีคือยืดอายุ เพิ่มประสิทธิภาพฟื้นฟูเซลล์ โดยการเปลี่ยนปัจจัยภายในจากพลังคลื่นสมองเซลล์ประสาทที่ควบคุมทุกระบบของร่างกายรวมทั้งระบบพันธุกรรมที่มีผลต่อเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย
การพัฒนาสมองเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์ และฝึกซ้ำๆจนเกิดความชำนาญทำให้ระบบเซลล์ประสาทเกิดการเชื่อมต่อภายในระบบประสาทและอวัยวะต่างๆ มีการรับรู้ภายใน และภายนอกร่างกาย มีกระบวนการคิด การตอบสนองที่เป็นไปในทางที่ดี จนกระทั่งบรรลุวัตถุประสงค์ประสบความสำเร็จตามต้องการ
ยกตัวอย่าง ความผิดปกติทางพันธุกรรมแต่กำเนิด เด็กปัญญาอ่อน สามารถฝึกพัฒนาสมองให้มีระดับสติปัญญาใกล้เคียงเด็กปกติได้
ผู้ป่วยบาดเจ็บที่สมองรุนแรงที่สมองซีกซ้ายซึ่งเป็นสมองด้านที่เด่นและควบคุมด้านภาษา มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีกขวา เดินไม่ได้ เขียนหนังสือไม่ได้ พูดไม่ได้ ต่อมาได้รับการพัฒนาสมองให้ฝึกระบบประสาทหัดเขียนด้วยมือซ้าย(Retraining of neurone) การให้กำลังใจ(Mental Reinforcement&support)ผู้ป่วยสามารถกลับมาพูดได้ เขียนได้ทั้งสองมือทั้งซ้ายและขวา เดินได้ ดำรงชีวิตได้ตามปกติภายในระยะเวลา1ปี ซึ่งเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายของแพทย์ท่านอื่น แต่ไม่ใช่สิ่งแปลกสำหรับผู้เขียน ความเข้าใจสมองในระดับเซลล์และกระบวนการทำงานของสมองทำให้รู้ว่าแม้แต่สมองที่พิการก็สามารถพัฒนา ฟื้นฟูสภาพเซลล์โดยไม่ต้องพึ่งยา หรือสารเคมี หากผู้ป่วยมีศรัทธาต่อแพทย์ผู้รักษา(ผู้เขียน)และปฏิบัติตามคำแนะนำในการพัฒนาสมองก็สามารถเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ดังกล่าวได้จริง
ภาวะสมองเสื่อมและเนื้องอกสามารถป้องกันและยับยั้งได้จริงโดยการฝึกระบบประสาทพัฒนาสมองเพื่อสร้างภูมิต้านทานการแปรปรวนทางพันธุกรรมในทางเสื่อม และการขาดการควบคุมระดับเซลล์ป้องกันการแบ่งตัวที่ผิดปกติ การคิดในทางที่ดีหลีกเลี่ยงสารที่เป็นพิษและก่อให้เกิดผลร้ายต่อร่างกาย
เป็นเรื่องมหัศจรรย์,ปาฏิหารย์หรือสิ่งที่เหลือเชื่อที่เกิดนับครั้งไม่ถ้วนในการรักษาโรคทางสมอง ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือการค้นหาความจริงจากธรรมชาติ ที่การพัฒนาสมองมีผลต่อพันธุกรรมอันยังผลให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงต่างๆรักษาโรคต่างๆ และยืดอายุมนุษย์ การะบวนการคิดสร้างอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการรักษาและการคิดค้นยา,วิธีรักษาเกิดจากสมองที่มีประสิทธิภาพ
การเข้าในตนเองและการแนะนำตนเองทำให้เกิดการคิดซ้ำๆ ทำให้เป็นไปตามที่ต้องการ เช่นคิดว่าพัฒนาสมองได้ เก่งได้ ฉลาดได้ รวยได้ สุขภาพแข็งแรง คิดต่อตนเองในทางที่ดีบ่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงคลื่นสมองที่เป็นพลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะภายนอกได้เมื่อมีพลังงานเพียงพอ(คนส่วนใหญ่เรียกว่าพลังจิต)และทำให้เกิดความเชื่อมั่นที่จะคิดการณ์ต่างๆเพื่อประสบความสำเร็จตามต้องการดังกล่าว
อัจฉริยภาพเกิดขึ้นได้โดยอิสระ ไม่จำกัดเพศ อายุ เชื้อชาติ สถานที่ เวลา การเรียนรู้พัฒนาสมองเกิดได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานที่ เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ คนป่วย สามารถพัฒนาสมองได้ตลอดเวลา เพื่อให้มนุษย์ทุกคนรู้จักคำว่าฉลาด หรืออัจฉริยที่แท้จริง ไม่จำกัดด้วยเวลา สถานที่ สามารถพัฒนาสมองที่ข้างถนนได้ เช่น คนโง่ข้างถนนฟังคำสอนด้วยความเชื่อมั่นอัจฉริยบุคคล สารถเข้าใจและฉลาดเป็นอัจฉริยเพียงคำพูดไม่กี่ประโยคในเวลาไม่นาน

สำหรับคนป่วยที่พิการแล้วพัฒนาสมองจนพ้นความพิการจะได้ค้นพบความฉลาดหรืออัจฉริยภาพในตัวเองที่ฟื้นฟูสภาพสู่ความเป็นปกติและยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง

ความฉลาดไม่ขึ้นกับประกาศนียบัตรรับรอง อัจฉริยภาพไม่มีขอบเขตให้ใช้เครื่องมือวัด

ความเข้าใจรู้เห็นความจริงตามธรรมชาติเป็นอัจฉริย หรือความฉลาดที่แท้จริง เมื่อใดเข้าใจ เมื่อนั้นฉลาด
เป็นเรื่องที่ง่ายมากที่คนไปทำให้ยุ่งยากเสียเวลากับกระบวนการเรียนรู้ เข้าสู่กระบวนการพัฒนาสมองมุ่งสู่ความฉลาด อัจฉริยภาพ ดังเช่นที่ผู้อ่าน เริ่มอ่านบทความนี้ก็เริ่มต้นเพาะปลูกความฉลาด

สำหรับเด็กนักเรียนที่ต้องการฉลาดย่อมจะฉลาดได้จริงรู้ในสิ่งที่ควรรู้และต้องรู้สามารถตอบปัญหาได้อย่างง่ายดาย ผลการเรียนดีมากคะแนนสูง โดยกระบวนการดังที่บรรยายไปแล้วและจะบรรยายต่อไป
คนเราเกิดมาเท่าเทียมกัน มีสมองเหมือนกันต่างกันที่ใครจะรู้จักวิธีใช้สมองดีกว่ากัน เริ่มการพัฒนาสมองได้ตั้งแต่ปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อัจฉริยภาพจากการค้นพบความจริงตามธรรมชาติ

คนทุกคนเกิดมาพร้อมกับความต้องการขั้นพื้นฐานเพื่อการอยู่รอด และมีความสุข อยากรวย อยากสวย หรือหล่อ อยากฉลาด อยากมีสุขภาพดี อยากมีอายุยืน อยากมีชื่อเสียง อยากมีอำนาจ อยากชนะ ด้วยความอยากนานัปการ และความไม่รู้หรือความโง่ คนเกิดมาพร้อมความอยาก และความโง่ แล้วเริ่มแสวงหากระทำสิ่งต่างๆที่ตอบสนองความอยาก และแสวงหาความรู้เพื่อพ้นความโง่ มีการพัฒนาสมองคิดด้วยรูปแบบต่างๆ เดิมทีใช้การอ้อนวอนขอสิ่งต่างๆเพื่อให้ตนมีความสุข แล้วเริ่มคิดอย่างมีเหตุผลแสวงหาด้วยสติปัญญา
อัจฉริยภาพ หรือความฉลาดอาจสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว การคิดออกจากรูปแบบเดิมสู่ความสำเร็จตามธรรมชาติ ผู้ที่ฉลาดที่สุดที่ค้นพบความจริงตามธรรมชาติพัฒนาสมองมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเลิกการคิดแบบเดิม ในเรื่องการหาทางพ้นทุกข์ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ตาย คิดหาทางพ้นจากความโง่ที่นำไปสู่ความทุกข์ สู่ความฉลาดที่นำไปสู่ความสุขที่แท้จริง สติปัญญาหรือความฉลาดที่รู้ความจริงทางธรรมชาติ รู้เหตุรู้ผลรู้แนวทางที่นำไปสู่ความฉลาดสูงสุด มีผู้ที่คิดได้สำเร็จและพ้นทุกข์มากมาย มีทั้งผู้ที่ถ่ายทอดวิธีคิดวิธีปฏิบัติแก่ผู้อื่น เกิดคำสอนหรือศาสนาขึ้น เช่น ศาสนาพุทธ คำสอนเพื่อความรู้ ซึ่งไม่ว่าจะมีคำสอนหรือไม่ ความจริงตามธรรมชาติมีให้เห็นอยู่อย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับมนุษย์ผู้นั้นจะเห็นความจริงนั้นหรือไม่ เมื่อใดที่เห็นความจริงรู้ความจริงเมื่อนั้นก็ฉลาด เป็นเรื่องง่ายมากแต่คนไปทำให้ยุ่งยากด้วยกระบวนการวิธีต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น จูฬปันถก มีนักบวชที่โง่ ผู้พี่สั่งสอนเท่าไรก็ไม่ฉลาดสั่งให้ท่องบทสวดก็จำไม่ได้ เมื่ออัจฉริยผู้คิดค้นความจริงมาสอนด้วยตนเอง สอนให้มองเห็นความจริงตามธรรมชาติ เอามือถูผ้าที่ขาวสะอาด แล้วพิจารณาความขาวที่เริ่มไม่ขาวเมื่อสัมผัสกับมือ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่มือสัมผัสผ้าขาว เปลี่ยนสี เห็นความจริง การเปลี่ยนแปลง เห็นว่าทุกสิ่งมีเกิดมีดับ ความขาวไม่คงทนถาวร ขาวแล้วไม่ขาว เห็นว่าร่างกายเป็นของสกปรก ไม่มีความอยากยินดีในร่างกายเลิกความคิดแบบเดิม หลุดพ้นจากความอยาก และความโง่ สิ้นสุดความอยาก สู่ความฉลาด อัจฉริยภาพทันที จากตัวอย่างนี้จึงเห็นได้ว่าสิ่งที่อัจฉริยบุคคลสอนนั้นเป็นความรู้จริงทางธรรมชาติ ไม่ใช่คัมภีร์ หรือบทสวดที่นำไปสู่ความฉลาด ท่านสอนอย่างง่ายๆและรู้ว่าจะสอนผู้ใดด้วยวิธีการอย่างใดให้บรรลุความฉลาดเข้าใจสิ่งที่ท่านสอน ส่วนบทสวดต่างๆเพื่อถ่ายทอดวิธีการคิดสู่คนอื่นๆ บางครั้งคนหลงคิดว่าตนฉลาดที่สุดที่จำได้หรือจำวิธีการได้ แต่กลับเป็นคนโง่ที่สุดที่หลงอยู่กับความโง่นั้น ต่อเมื่อผู้ที่ฉลาดจริงมาสอนและสอนอย่างง่ายๆไม่สลับซับซ้อนเกิดอัจฉริยภาพจากความจริงทางธรรมชาติขึ้น การหลุดพ้นจากความโง่ ความไม่รู้สู่ความฉลาดสูงสุด
การเรียนรู้แบบเดิมที่สอนกันมาอาจไม่ใช่วิธีนำไปสู่ความฉลาดแต่นำไปสู่ความหลง โง่อยู่กบความโง่นั้นตลอดกาล ต่อเมื่อศึกษาเรียนรู้พิจารณาพัฒนาสมองรู้เห็นความจริงทางธรรมชาติ การคิดอย่างอิสระ ออกจากโลกแห่งความคิดแบบเดิม รู้เห็นด้วยความจริงทางธรรมชาติเป็นวิธีการสู่ความเป็นอัจฉริยภาพอย่างรวดเร็วและดีที่สุด
การคิดให้สำเร็จสมหวังตามต้องการ เรียกว่ามโนมยิทธิ อิทธิวิธี เป็นการใช้คลื่นพลังสมองควบคุมสรรพสิ่งตามธรรมชาติให้เป็นไปตามที่ต้องการ สามารถทำได้ และมีผู้ทำสำเร็จมากมายเหนือกว่าวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่ปรับเปลี่ยนธรรมชาติด้วยปัจจัยภายนอก ทั้งนี้ผู้คิดได้จะรู้ว่าแม้การเล่นฤทธิด้วยอำนาจจิตดังกล่าวยังไม่ใช่จุดสูงสุดของความฉลาด ซึ่งต้องการพ้นจากโลกแห่งความทุกข์ ควรคิดให้เห็นความจริง และไม่ยึดติดด้วยความอยาก หรือบางคนเรียกว่าปล่อยวาง จึงจะพ้นความโง่ สู่ความฉลาด เช่นเดียวกับนักบวชที่ตอนแรกโง่แล้วกลับกลายเป็นฉลาดอัจฉริยทันทีด้วยการถูผ้าขาวและพิจารณาสีขาว เห็นการเปลี่ยนแปลง เลิกยึดติด ปล่อยวางพ้นความโง่ และ สามารถเล่นฤทธิ์ ใช้คลื่นพลังสมองบังคับความคิดให้คนอื่นเห็นว่ามีตนเองหลายคนได้ การสะกดจิต หรือการใช้คลื่นพลังสมอง มีวิธีการฝึกให้ได้รับผลสำเร็จจริง ทุกสิ่งที่เขียนมาพิสูจน์ได้ตามหลักความจริง มีเหตุมีผลและกระทำได้จริง
การควบคุมคลื่นพลังสมองเพื่อพัฒนาสมองสู่ขั้นสูงสุดฉลาดที่สุดทำได้จริงและทำได้ง่ายซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปด้วยการฝึกจิตตามคำสอนของอัจฉริยบุคคลผู้รู้จริง โดยอ้างอิงจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค แนวทางสู่ความบริสุทธ์ ซึ่งจะสังเคราะห์ความรู้จากการแยกวิธีต่างๆ 40วิธี ให้เข้าใจง่ายและทำสำเร็จในเวลาอันสั้น

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การปรับเปลี่ยนพันธุกรรมเพื่อพัฒนาสมองโดยวิธีธรรมชาติ

ดังที่ได้กล่าวถึงเรื่องมหัศจรรย์ในอดีตที่คนในยุคโบราณไม่เข้าใจ มีผู้รู้คิดและสั่งสอนวิธีการต่างๆ ตั้งแต่การดำเนินชีวิต การค้นหาความจริงตามธรรมชาติ เดิมที่มีหลายเรื่องที่คนไม่รู้ คนมีสมองจึงรู้จักคิดเกิดความสงสัยในสิ่งต่างๆ และค้นหาคำตอบด้วยวิธีการมากมายเกิดการเรียนรู้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาสมอง การตอบปัญหาต่างๆตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน กำเนิดของคน การหาปัจจัยเพื่อการอยู่รอด ไปจนถึงทำอย่างไรจึงจะมีความสุข กำเนิดเป็นปรัชญา วิทยาการ วิทยาศาสตร์ต่างๆรวมทั้ง คำสอน(ศาสนา) การเรียนจากสิ่งที่อัจฉริยบุคคลในยุคโบราณคิดค้นสำเร็จเป็นเรื่องที่ฟังดูเหลือเชื่อ เช่น การฝึกให้ปราศจากกิเลส การเล่นฤทธิ์ต่างๆ เช่นการไปในที่ที่คนธรรมดาไปไม่ได้ การไปท่องเที่ยวยังดาวต่างๆ การเหาะเหินเดินอากาศ การเห็นอนาคต การเห็นอดีต การรู้ใจรู้ความคิดผู้อื่น การกระทำสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามต้องการ(มโนมยิทธิ อิทธิวิธี)ซึ่งมีผู้ที่ทำได้จริงและสอนวิธีการฝึกถ่ายทอดต่อกันมานานนับสองพันปี เผยแพร่เป็นคัมภีร์มากมายมีผู้ที่ฝึกสำเร็จมากมายและที่สำคัญที่สุดสำหรับความฉลาดสูงสุด คือคิดวิธีพ้นจากความทุกข์ ไม่ต้องแก่ ไม่เจ็บป่วย และไม่ตาย เป็นอมตะ กำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรุ้หรือฝึกคิดถึงขั้นสูงสุด นิพพานพ้นความทุกข์ อยู่เหนือโลกทั้งมวล ผู้ที่ฉลาดที่สุดในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถคิดวิธีการดังกล่าวได้ การพัฒนาสมองด้วยการคิดตามความเป็นจริงทางธรรมชาติ รู้เหตุรู้ผล กระทำเหตุให้ชัดเจน และดำเนินวิธีการอันนำไปสู่ผลสำเร็จ ที่ต้องยกตัวอย่างโดยอ้างอิงหลักแห่งคำสอนเพื่อความรู้แจ้ง เพื่อให้ง่ายต่อการฝึกสมองโดยวิธีที่เร็วและสะดวกที่สุด เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมทางธรรมชาติ สามารถยืดอายุ และฉลาดรอบรู้ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่สุด เกิดมาทำไม และมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สำหรับศาสดาผู้คิดค้นนั้น ได้แสดงปาฏิหารย์เล่นฤทธิ์นับครั้งไม่ถ้วนมีการเดินกลางอากาศ การเปิดโลก การแปลงกาย ในการเอาชนะเจ่าลทธิผู้มีฤทธฺิ์ในยุคนั้นยิ่งกว่ายอดมนุษย์ในหนังทีวี สามารถที่จะมีชีวิตและกำหนดอายุขัยตนเองได้ จะอยู่สักร้อยปีก็ได้ แต่ปลงอายุขัยเพื่อให้คนทั้งหลายเห็นว่าทุกอย่างหนีไม่พ้นความจริงที่มีเกิดก็ต้องมีแก่มีเจ็บมีตาย ถ้าไม่มีเกิดก็ไม่มีแก่ไม่เจ็บไม่ตาย แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่เกิดอีก สู่สภาวะที่เรียกว่านิพพานกลับสู่ธรรมชาติ ไม่ว่าจะพัฒนาสมองด้วยวิธีใดก็คงไม่พ้นวิธีที่ดีที่สุดดังกล่าว ผู้ที่คิดค้นพัฒนาสมองจนสำเร็จ เรียนมาจากหลายสำนักปฏิบัติอย่างหนักหลายปีไม่สำเร็จเพื่อหาทางพ้นทุกข์ ต่อเมื่อเลิกคิดด้วยวิธีเดิม มาพิจารณาความจริงทางธรรมชาติ เพียงชั่วข้ามคืนเกิดการเปลี่ยนแปลงคลื่นสมอง เห็นเหตุ อดีต เห็นผล อนาคต เห็นความรู้จริง บรรลุความฉลาดสูงสุด การมองเห็นโดยไม่ได้ใช้ตามอง ไม่ใช้สมการ เห็นความจริง รู้เรื่องในทุกสรรพสิ่งที่สงสัยกลายเป็นอัจฉริยะบุคคลในเวลาอันสั้นพร้อมทั้งมีพลังจิต(คลื่นพลังงานสมอง)รอบรู้และกระทำได้จริงทุกอย่างแม้แต่การเอาชนะความเจ็บป่วยและชนะความตาย
การฝึกสมองตามหลักวิธีคิดทางธรรมชาติเป็นเรื่องง่าย มีผู้เขียนถ่ายทอดในหนังสือหลายเล่ม แต่จะหาผู้ที่สามารถสอนให้เห็นความจริงดังกล่าวหาได้ยากในปัจจุบันส่วนใหญ่มักถ่ายทอดแบบเล่าต่อๆกันมาจะหาผู้ที่รู้และเข้าใจแท้จริงมีอยู่น้อย จึงเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกสมองพึงหาวิธีที่เหมาะสมแก่ตนในการพัฒนาสมองเพื่อความฉลาด เช่นเดียวกับการเปลี่ยนพันธุกรรม การจะเป็นผู้รู้จริงมิใช่รู้แต่ในตำรา รู้แต่ในสถาบันตนที่สอนต่อๆกันมาหรือรู้โดยการเล่าการสอนกันมาพึงแสวงหาความจริงด้วยตนเองแล้วรู้อย่างแท้จริงหรือฉลาดอย่างแท้จริงตามวิธีทางธรรมชาติด้วยความรวดเร็วดังเช่นผู้คิดค้นศาสดาที่ทำสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พันธุกรรมกับความฉลาด

ความฉลาดเกี่ยวเนื่องกับพันธุกรรม คนปกติกรรมพันธุปกติ แต่ไม่ฉลาด พ่อแม่ไม่ฉลาด แต่ลูกฉลาด หรือ พ่อแม่ฉลาด แต่ลูกไม่ฉลาด ปัญญาอ่อน มีให้เห็นอยู่ ดังนั้นการสร้างความฉลาดไม่เกี่ยวกับพันธุกรรมแต่กำเนิด พันธุกรรมอาจมีการแปรปรวน Mutation ซึ่งส่วนใหญ่แสดงออกด้วยโรคทางกรรมพันธุซึ่งมีโรคทางระบบประสาทที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธ์มากมายหลายโรค เนื้องอก การเปลี่ยนพันธุกรรมโดยเกิดmutation เกิดขึ้นได้โดยการตัดต่อยีน(วิศพันธุกรรม) การติดเชื้อไวรัส การได้รับรังสี และสารก่อมะเร็ง มีการศึกษาวิธีการควบคุมพันธุกรรม เพื่อ การรักษาโรคด้วยยา และวิศวพันธุกรรม(Genetic engineering) เป้าหมายเพื่อยืดอายุเซลล์ กำจัดเซลล์ผิดปกติ(มะเร็ง)เพิ่มภูมิต้านทานโรค สมองมนุษย์มีความฉลาดที่จะคิดค้นเรื่องของชีวิตตนเองในระดับเซลล์ แต่ลืมองค์ประกอบสำคํญสำหรับชีวิต ในเรื่องของธรรมชาติ อายุคนสั้นลงจากเดิม เป็นผลพวงจากการสร้างสารพิษมากมาย มลพิษในธรรมชาติ ความรู้ที่คิดว่าฉลาดกลายเป็นอาวุธมาประหัตประหารตนเอง
ความฉลาดสามารถเกิดขึ้นได้ทันทีเช่นเดียวกับการเปลี่ยนพันธุกรรมไปในทางที่ดี โดยไม่ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษา คนจะมีอายุยืนยาวหลายร้อยปี สมองไม่เสื่อม โดยไม่พึ่งเทคโนโลยี เช่นเดียวกับในอดีต ที่คนฉลาดรู้จักปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ คนในปัจจุบันที่คิดว่าฉลาดพยายามเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้คนสะดวกสะบาย ดังนั้นการพัฒนาสมองโดยกระบวนการทางธรรมชาติที่ง่าย และสามารถปรับเปลี่ยนพันธุกรรมไปสู่ความฉลาด อายุที่ยืนยาวได้ เป็นการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมทางธรรมชาติให้เป็นไปในทางที่ต้องการซึ่งเป็นไปในด้านดี การเพิ่มอายุ,ความทนทานและการฟื้นฟูสภาพของเซลล์ เพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์ประสาทไม่ต้องใช้ยา หรือเทคโนโลยี โดยการควบคุมสมอง ความคิด คลื่นพลังงานสมอง(พลังจิต)สารอาหารที่มีประโยชน์ การดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ การพัฒนาทักษะของอวัยวะต่างๆ เช่นเด็กปัญญาอ่อนสามารถพัฒนาสมองให้ใกล้เคียงเด็กปกติได้
การพัฒนาสมองโดยปรับเปลี่ยนพันธุกรรมด้วยวิธีการทางธรรมชาติสามารถกระทำได้จริงเช่นเดียวกับมนุษย์ในอดีต ซึ่งมีเรื่องเล่าขานถึงความมหัศจรรย์ที่มนุษย์สมัยก่อนเองก็ยังไม่เข้าใจ

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

การพัฒนาสมองในชีวิตประจำวัน

เราใช้สมองตั้งแต่เริ่มตื่นนอน คิดและทำกิจวัตรประจำวัน สมองส่วนหน้า(Frontal lobe)มีขนาดใหญ่ที่สุดมีหน้าที่ควบคุมระบบกล้ามเนื้อสำหรับการเคลื่อนไหว เกี่ยวข้องกับการวางแผน การควบคุมให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ต้องการ อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม และต่อเนื่องกับส่วนอื่นๆของสมอง สมองส่วนนี้ปกติใช้งานเพียง20% มีความสามารถของสมองที่ซ่อนเร้นอีกกว่า80% การพัฒนาขีดความสามารถของสมองโดยดึงความสามารถที่เหลือหรือการใช้สมองอย่างเต็มที่เป็นจุดประสงค์ของการพํฒนาสมองที่แท้จริง ร่างกายมนุษย์เปรียบเสมือนจักรกลชีวภาพ เราเติมพลังงานจากสารอาหารที่กินเข้าไปเปลี่ยสสารเป็นพลังงาน กระแสไฟฟ้า ที่สมองมีคลื่นไฟฟ้าที่วัดได้ การทำงานของสมองเชื่อมโยงสั่งการด้วยสารเคมี และกระแสไฟฟ้า ขนาดต่ำ การพัฒนาสมองให้ทำงานเต็มที่โดยใช้พลังงานต่ำ เช่น การทำสมาธิ หยุดการคิดที่สิ้นเปลืองพลังงานในเรื่องต่างๆที่ก่อให้เกิดความฟุ้งซ่าน ควบคุมให้คิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนสำเร็จเป็นตัวอย่างเทคนิคการพัฒนาสมอง การประกอบกิจวัตรประจำวันจึงสามารใช้เป็นแนวทางในการฝึกสมองขั้นพื้นฐานเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐาน อันนำไปสู่การพัฒนาขั้นสูง
เมื่อวิเคราะห์การทำงานของสมอง จากการรับรู้ข้อมูลจากภายนอกและภายในร่างกาย นำไปสุ่การคิด และแปลงสัญญาณประสาท เป็นคำสั่งควบคุมการเคลื่อนไหวผ่านกล้ามเนื้อ เช่น เมื่อรู้สึกหิว ปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำสมองก็จะคิดว่าอาหารอยู่ที่ใดจะไปหาอาหารจากที่ไหน และ ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว ออกหาอาหาร พัฒนาจากการล่าสัตว์เกิดระบบแลกเปลี่ยนเงินตรา เกิดอาชีพ เพื่อหาอาหาร จากการตอบสนองขั้นพื้นฐาน นำไปสู่กระบวนการคิดที่ซับซ้อนขึ้น เกิดระบบแลกเปลี่ยนเงิน จึงเห็นได้ว่าสมองมนุษย์มีการพัฒนาจากกิจวัตรประจำวันเกิดระบบเศรษฐกิจ เพื่อหาอาหารและปัจจัยเพื่อการอยู่รอด
การทำกิจวัตรประจำวัน เริ่มจากการรับรู้ การกำหนดเป้าหมาย ลำดับขั้น การวางแผน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ทั้งนี้อาจมีการวางแผนการเคลื่อนไหวหลายแบบ และต้องรู้จักเลือกแผนที่ดีที่สุดที่ตอบสนองตรงตามความต้องการหรือวัตถุประสงค์หรือมองภาพด้วยใจจินตนาการถึงการกระทำและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นการฝึกการสร้างมโนภาพ และทำให้เกิดขึ้นจริง เมื่อฝึกฝนบ่อยๆก็จะพัฒนาขีดความสามารถมองเห็นการณ์ที่จะเป็นไปในอนาคตและผลลัพธ์ต่างๆที่เกิดจากการกระทำในปัจจุบัน บางครั้งมีนักคิดเรียกวิธีการนี้ว่าเป็นการฝึกฝนพลังจิต ซึ่งคือการฝึกสมองให้ใช้งานเต็มที่อย่างมีประสิทธิภาพ บางครั้งคลื่นสมองเปรียบเสมือนคลื่นพลังงานสามารถควบคุมวัตถุภายนอกเช่น งอช้อน เคลื่อนไหววัตถุที่อยู่ห่างออกไป หรือควบคุมคลื่นความคิดผู้อื่นที่เรียกว่าสะกดจิต และสามารถพิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์เป็นการศึกษาวิจัยทั้งโครงการลับของประเทศมหาอำนาจต่างๆ ในที่นี้มุ่งเน้นการฝึกสมองในทางสร้างสรรค์ และใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนการพัฒนาสมองขั้นสูงดังกล่าวจะบรรยายต่อไป

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

การพัฒนาสมองด้วยการสร้างความรู้ จุดเริ่มต้นการเรียนรู้

การพัฒนาสมอง เริ่มจากในครรภ์ มีงานวิจัยที่ศึกษามากมายยืนยันถึงพัฒนาการตั้งแต่ในครรภ์ การกระตุ้นระบบประสาทรับรู้ การเรียนรู้ การตอบสนอง เมื่อเด็กคลอดออกมาสิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำคือการเรียนรู้ที่จะหายใจ ร้องเพื่อความอยู่รอด เล่ามาเพื่อแสดงให้เห็นภาพกระบวนการพัฒนาสมองขั้นพื้นฐาน การเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยระบบประสาทอัตโนมัติ และการพัฒนาสมองส่วนต่างๆ เพื่อการทำกิจกรรม การหาอาหารกิน นอน ขับถ่าย เป็นกลไกที่ซับซ้อนและเรียนรู้แบบซ้ำๆ จนสามรถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อต่างๆได้อย่างคล่องแคล่ว ต่อมาสมองต้องพัฒนาเพื่อคิด ต่อการทำกิจกรรมต่างๆ เด็กเล็กไม่สามารถหาอาหารได้ต้องสื่อสารกับแม่ด้วยภาษาพื้นฐาน การร้องไห้ ภาษากาย เพื่อให้แม่มาป้อนนม เด็กเล็กจึงเริ่มเรียนรู้การสื่อสาร และ ภาษาเพื่อใช้ติดต่อกับแม่ และพัฒนาขั้นสูงเป็นการเรียนรู้เรื่องภาษาซึ่งพํฒนาในส่วนของสมองซีกซ้ายข้างที่เด่น(Dominant hemisphere:Language area)ภาษาเป็นกระบวนการขั้นสูงสำหรับมนุษย์ สัตว์ต่างๆอาจใช้เสียงร้องสื่อสาร แต่มนุษย์รู้จักใช้สัญญลักษณ์ ใช้กล้ามเนื้อในการเปล่งเสียงเป็นคำ ประโยคอย่างเป็นระบบ แสดงให้เห็นว่าสมองมนุษย์มีการพัฒนาเหนือกว่าสัตว์ต่างๆ เมื่อเติบโตขึ้น สมองมีการเรียนรู้โดย รับรู้ คิด ตอบสนองเป็นกระบวนการที่เกิดซ้ำวนหลายรอบ แต่เปลี่ยนเรื่องที่คิด มนุษย์รู้จักประดิษฐ์ สร้างสรรค์ วัสดุอุปกรณ์เครื่องทุ่นแรง ในการหาอาหาร การต่อสู้การป้องกันตัวคิดค้นอาวุธ และเริ่มการสร้างความรู้ที่ค้นพบและถ่ายทอดสืบต่อกันมา การสร้างความรู้เป็นกระบวนการพัฒนาสมองที่ไม่มีวันจบสิ้น จึงเห็นได้ว่า การพัฒนาสมองเริ่มจากพื้นฐานการอยู่รอด และขั้นสูงเพื่อการสร้างความรู้ ทั้งนี้เพื่ออยู่อย่างมีความสุข ความสุขเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักคิดมากขึ้น สร้างสิ่งต่างๆเพื่อตอบสนองให้เกิดความพึงพอใจ กำเนิดเป็นความรู้ ศาสตร์สาขาต่างๆ วิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์และศาสตร์อื่นๆอีกนับไม่ถ้วน เนื่องจากสมองคิดมากขึ้นและมีสิ่งที่ไม่รู้มาก สมองจึงหาทางคิดเพื่อให้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ เป็นการเรียนรู้ มีการสร้างระบบการเรียนแบต่างๆ เกิดการก่อตั้งโรงเรียน เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องราวธรรมชาติที่ยังไม่รู้ ให้รู้จริงด้วยกระบวนการที่สร้างขึ้นการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ว่าเป็นความจริง มีการคิดด้วยสัญลักษณ์ตัวเลขและสมการคณิตศาสตร์ซึ่งมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นหลังการพัฒนามาตามลำดับจากยุคโบราณสู่ยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสมองสามารถกระทำได้โดยไม่ยุ่งยากในยุคปัจจุบันเนื่องจากมีเครื่องมือสื่อสารเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการพัฒนาการเรียนรู้ผ่านสื่อต่างๆง่ายและสะดวกมากมาย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และคอมพิวเตอร์ เครื่องมือที่เลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ การป้อนข้อมูล การคิด การตอบสนอง มีการสร้างโครงข่ายติดต่อสื่อสารทั่วโลกเป็นอินเตอร์เนต มีการสร้างโรงเรียน มหาวิทยาลัยเสมือนจริงบนอินเตอร์เนต ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเดินทางไกล ก็สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา การพัฒนาสมองจึงง่ายมากในยุคปัจจุบัน การสร้างความรู้จากข้อมูลที่หลากหลายหาได้มากมายในปัจจุบันเป็นทางลัดในการพัฒนาสมองอย่างรวดเร็ว ช่วยให้รู้ได้เร็ว ทั้งนี้การรู้จักคิดสามารถกระทำได้เพื่อสร้างความฉลาดซึ่งจะบรรยายต่อไป สรุป การพัฒนาสมองเริ่มจากการเรียนเพื่อให้รู้และอยู่รอด

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

วิเคราะห์วิธีการพัฒนาสมอง

การพัฒนาสมอง หรือการสร้างรูปแบบการเรียนรู้ มีการแยกวิธีการเรียนตามหลักการคิดวิเคราะห์เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้โดยแยกตามวัย แบ่งชั้นเรียนตามอายุ อนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย และแยกวิชาการเรียนออกเป็นหลายสาขาวิชา เพื่อจัดระบบ และง่ายต่อการเรียนรู้ เป็นการสอนคนให้เลือกวิชาการที่ตนถนัด ซึ่งเป็นการเรียนรูปแบบเก่า ทั้งนี้สมองสามารถพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัด การเรียนรู้แบบเก่าเป็นเหมือนสอนคนให้ขึ้นบันไดไปทีละขั้น ซึ่งการพัฒนาสมองสามารถทำได้ทันทีไม่ต้องใช้เวลานานอย่างกระบวนการเรียนรู้แบบเก่าซึ่งมนุษย์ปัจจุบันคิดว่าดี การเรียนรู้แบบสังเคราะห์เป็นการสร้างความรู้โดยพัฒนาต่อเนื่องจากการเรียนแบบวิเคราะห์แยกวิชาการ ซึ่งทำให้คนฉลาดขึ้นกว่าระบบเก่า
การเรียนรู้ในปัจจุบันต่างจากอดีต เนื่องจากองค์ความรู้ที่พัฒนามีมากมายมหาศาล และไม่จำกัดเฉพาะสถานที่ อายุ เวลา แนวคิดการเรียนอย่างอิสระสามารถกระทำได้อย่างรวดเร็วด้วยความเจริญทางเทคโนโลยี ซึ่งการสร้างความฉลาดง่ายกว่าในอดีต
การพัฒนาสมองจึงเริมได้ทุกที่ทุกเวลา เสมือนการปฏิวัติทางความคิด โดยคิดอย่างอิสระ บนความเป็นจริง สร้างสรรค์และไม่ก่อให้เกิดโทษหรือเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
โลกในยุคที่3(The third wave intelligent&technology power)เป็นโลกที่มีความเจริญทางวัตถุอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงโลก(Rule of the world:The third wave)มีความซับซ้อนมากขึ้น นอกจากการใช้กำลัง(ยุคแรก โบราณ :Weapon power)และการใช้เศรษฐกิจ การค้า(ยุคที่2 :Economic power)มีผู้สร้างทฤษฏีและแนวคิดหลากหลายรูปแบบโดยเฉพาะระบบการปกครอง มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากระบบขุนนางกษัตริย์ซึ่งมีผลกระทบทั้งโลก(intelligent wave) เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือความเท่าเทียมกันและความเป็นอิสระปราศจากการกดขี่จากระบอบกษัตริย์หรือระบบขุนนาง เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ไม่ว่าจะยุคใดการเปลี่ยนแปลงโลกมักต้องใช้กำลังเหมือนยุคโบราณ เมื่อปฏิวัติโค่นระบบการปกครองเดิมสำเร็จก็เกิดการสร้างโลกยุคใหม่ ควบคุมด้วยระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ตามมาด้วยผู้ที่คิดระบบการปกครองเพื่อความเป็นอิสระและช่วยเหลือชนชั้นล่างที่ถูกกดขี่เกิดระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยภายใต้กระบอกปืน(คอมมิวนิสต์) การปฏิวัติที่รัสเซีย จีน เวียดนาม เกาหลีและอีกหลายประเทศ โลกแบ่งออกเป็น2ฝ่าย เข้าสู่ยุคสงครามเย็น จึงเห็นได้ว่า ผู้ที่เปลี่ยนแปลงโลก คือผู้ที่รู้จักคิด ปฏิวัติทางความคิด(Revolution of thinking)อันนำไปสู่การปฏิบัติ และมีผลกระทบทั้งโลก ยุคสงครามเย็นระหว่างรัสเซียและสหรัฐ จบลงที่ผู้นำรัสเซียถูกครอบงำทางความคิดหรืออาจจะเปลี่ยนแปลงทางความคิดให้เป็นอิสระจากการใช้แต่กำลังหรืออาวุธที่มีประสิทธิภาพสูง(Weapon &intelligent) มาสู่ระบบทุนนิยม(Economic wave)การเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินไปของรัสเซียทำให้ประเทศล่มสลายแตกออกเป็นหลายประเทศซึ่งเป็นความพ่ายแพ้ทางความคิดของรัสเซียต่ออเมริกา ดังนั้นผู้นำประเทศต้องมีแนวความคิดที่ดีและเห็นเหตุการณ์ที่จะเป็นไปในอนาคตหรือรู้ผลลัพธ์ของสิ่งที่ทำ ไม่ว่าประเทศใดจะพ่ายแพ้หรือชนะ เรื่องที่เล่ามาดังกล่าวแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโลกโดยการคิดที่แตกต่างจากอดีต แนวคิดความเป็นอิสระ ความเท่าเทียมกันของมนุษย์บนโลกใบเดียวกัน แตกต่างที่วิธีการและความฉลาด
การที่ผู้ที่รู้ว่าตนโง่แล้วเริ่มหาวิธีทำให้ตนฉลาดขึ้นเป็นคนฉลาดและเริ่มการเรียนรู้ขึ้น วิธีการเรียนรู้อาจจำแนกได้หลายแบบ โดยสรุปเป็นการคิดแนววิเคราะห์ ซึ่งทำให้คนฉลาดแต่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือถูกจำกัดความคิดให้คิดในรูปแบบเดิม การจะฉลาดรอบรู้ต้องรู้จักคิดออกจากรูปแบบเก่า สร้างกระบวนการคิดหรือวิธีคิดที่เป็นอิสระ ยกตัวอย่างเช่น คนส่วนมากถูกสอนให้จำว่าไอน์ไสตน์เป็นอัจฉริยะ ซึ่งสร้างสมการหรือสูตรประหลาด ที่ไม่มีใครคิด และไม่รู้ว่าจริงหรือไม่แต่ก็โง่เชื่อตามกันไปทั้งที่จริงๆแล้วเราอาจฉลาดกว่าไอน์ไสตน์ สูตรหรือสมการไม่ใช่สิ่งที่แสดงความฉลาด เพียงแต่คิดอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่คิดกัน สมการที่ถูกต้องอาจไม่ใช่สิ่งที่เขาคิด และการนำสมการไปใช้สร้างอาวุธที่ทำลายล้างสูงยิ่งแสดงความโง่อย่างบ้าคลั่ง หลังระเบิดปรมณู ไอน์ไสตน์ก็ตายจากโลกไป ผู้ที่ช่างคิดอาจสงสัยว่าถ้างั้นใครที่ฉลาดที่สุดในโลก คำตอบอาจจะเป็นตัวเองก็ได้ถ้ารู้จักคิด
ถ้าเรายังอยู่ในระบบการเรียนแบบเดิมก็ยังคงโง่ต่อไปเพราะจะรู้อยู่ด้านเดียว แต่ถ้าเรารู้จักคิดจะเกิดสมการหรือรูปแบบที่น่าสนใจกว่าและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกที่ดีขึ้น โลกแห่งความฉลาด บนพื้นฐานแนวคิดแบบสังเคราะห์การสร้างความรู้ ยกตัวอย่างศาสดาในศาสนาต่างๆที่สร้างคำสอนเปลี่ยนแปลงโลก ช่วยคนให้พ้นจากความทุกข์ และความโง่(The third wave intelligent) เดิมที่เรียนจากสำนักต่างๆแต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีคิดแบบเดิม ต่อเมื่อสงบจิตใจ หยุดคิดแบบเดิม เลิกคิดวิเคราะห์ มาพิจารณาความจริงจนเกิดความฉลาดรอบรู้ เรียนมานานโง่อยู่นาน มาฉลาดเพียงชั่วข้ามคืน เหมือนออกจากโลกใบเดิม คิดวิธีการพ้นจากความโง่และความทุกข์สำเร็จ และนำแนวคิดมาถ่ายทอดเป็นคำสอนกำเนิดศาสนาแห่งความรู้(พุทธศาสนา) ความเป็นอัจฉริยะหรือฉลาดอย่างมากอาจเกิดขึ้นทันที่ทันใดดังเช่นศาสดาในพุทธศาสนา ที่ใช้เวลาเพียงข้ามคืนคิดสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับมนุษยชาติ ความฉลาด ดังนั้นการสร้างอัจฉริยะจึงเกิดขึ้นได้จริงไม่จำกัดเพศ อายุ ชนชั้น วรรณะ สถานที่หรือเวลา เมื่อใดที่คิดได้ เมื่อนั้นก็ฉลาด

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

วิธีการพัฒนาสมอง

การพัฒนาสมอง เริ่มต้นได้ทันที เนื่องจากทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตื่นนอนควบคุมโดยสมอง การเข้าใจกลไกการใช้สมองหรือ การเข้าใจวิธีการคิดเป็นหัวใจสำคัญ การดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิตทัั้งหลายเป็นการทำงานขั้นพื้นฐาน(Basic instinct) กิน นอน ขับถ่าย สืบพันธุ์ ต่อสู้ หลบหนี อารมณ์พื้นฐาน การเคลื่อนไหว ส่วนการทำงานขั้นสูง ที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่นคือการคิด การเรียนรู้ การเข้าใจวิธีการคิดหรือเข้าใจวัตถุประสงค์พัฒนาสมองเพื่อความฉลาด
เข้าใจความฉลาด ความสามารถในการใช้สมองคิด เลือกเฟ้นสิ่งที่ดีแก่ตน เช่น เลือกคำตอบที่ถูกจากการสอบ ทำให้สอบได้คะแนนสูง สามารถแก้ปัญหาได้ คนแต่ละคนจึงแตกต่างกันที่ระดับสติปัญญา หรือความฉลาด
อัจฉริยะ ความฉลาดอย่างมาก เกิดได้จาก พันธุกรรม ที่มีมาแต่กำเนิด ฉลาดแต่กำเนิด ในที่นี้ เน้นการสร้างอัจฉริยะจากการฝึกพัฒนาสมอง ให้รู้จักวิธีการคิด การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถคิดดี คิดถูกต้องและคิดได้อย่างรวดเร็ว
กระบวนการคิด เริ่มตั้งแต่วัตถุประสงค์ วิธีการ การตอบสนอง แล้วย้อนกลับมาที่เริ่มคิด มีนักคิดหลายท่านทำการศึกษาค้นคว้า วึ่งอาจสรุปเป็นกระบวนการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ การค้นหาความจริงจากสิ่งที่พิสูจน์ได้ตามหลักการวิทยาศาสตร์ การคิดเชิงจินตนาการ การสร้างรูปแบบต่างๆเชิงศิลปะใช้อารมณ์และจินตนาการ
การคิดแบบวิเคราะห์(การคิดแบบแยกส่วน,ขยายความ),การคิดแบบสังเคราะห์(การคิดแบบสรุปข้อมูล,สรุปใจความสำคัญ)เป็นสิ่งสำคัญของการเกิดวิชาการต่างๆจาการสร้างความรู้และศึกษาถ่ายทอดต่อมาซึ่งมีการสร้างความรู้อย่างต่อเนื่อง การใช้สมองนั้นเป็นการคิดทั้ง2แบบรวมกัน เริ่มจากการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสรุปผลเป็นความรู้ การตอบสนองโดยการนำความรู้มาใช้ ซึ่งความฉลาดจะเกิดขึ้นได้จาก ประสบการณ์การเรียนรู้ สะสม จนรู้จักสังเคราะห์ความรู้เป็นของตนเอง หรือรู้จักคิด
ลองเริ่มต้นสร้างความฉลาดโดยการวิเคราะห์กระบวนการใช้สมองเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้
1.ความมุ่งหมาย(Aim) กำหนดจุดมุ่งหมายในชีวิตหรือกิจกรรมที่จะทำ,จะประกอบอาชีพอะไร,อะไรเป็นอุปสรรค,หนทางแก้ไข,จุดมุ่งหมายสูงสุดคืออะไร,ควรมีความรู้ในอาชีพและความรู้รอบตัว

2.สติสัมปัชัญญะ(Perception)

ความรู้สึกตัวเป็นสิ่งสำคัญมาก มีสติที่จะรู้จักและควบคุมความคิด ให้พยายามที่จะดูอย่าเพียงแต่จะเห็น ให้พยายามที่จะฟังอย่าเพียงแต่ได้ยิน

3.ความสังเกต(Observation)

ดูสิ่งต่างๆอย่างถี่ถ้วนทำความสังเกตให้ถูกต้อง สามารถแยกแยะความเหมือนหรือความแตกต่าง

4.สมาธิ(Concentration)

การตั้งใจมั่นอยู่ในสิ่งเดียวที่เราทำ ให้มีสมาธิก่อนทำการใดๆ ควรรู้ว่าจะคิดเรื่องอะไร คิดดีหรือไม่ คิดถูกต้องหรือไม่ สิ่งที่จะทำควรทำหรือไม่ เมื่อทำแล้วผลลัพธ์จะเป็นเช่นใด

5.มโนคติ(Imagination)

การเห็นรูปด้วยใจ การมองเห็นการที่จะเป็นไปในภายหน้า การฝึกในทำนองฝึกจินตนาการฝันกลางวันเห็นภาพหรือเรื่องราว เช่นเดียวกับนักเขียนแต่งบทละคร มโนคติย่อมปกครองโลก

6.ความจำ(Memory)

ฝึกความจำโดยทำใจให้เป็นสมาธิ,มีความละเอียดสังเกตต่อเนื่อง,การเทียบเคียง,ทำเครื่องหมาย,ฝึกจำตัวเลขตอนเช้า ถ้าจำไม่ได้อาจใช้ความวิธีการเรียนซ้ำๆ เช่นเขียนข้อความที่ต้องการจำติดผนังอ่านซ้ำทุกวันจนกว่าจะจำได้

7.ความคิดปลอดโปร่ง(Clear thinking)

ไม่ปล่อยให้มีความสงสัย,มีความละเอียดแยกเรื่องออกเป็นส่วน,ใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย,ทำสิ่งที่ยากให้ง่าย การมีสมองปลอดโปร่งปราศจากสิ่งรบกวนทำให้คิดเห็นได้อย่างชัดเจน

8.การคิดหาเหตุผลให้ถูกทาง(Right reasoning)

แสวงหาความจริงและเหตุผล

9.ความวินิจฉัยถูกต้อง(Good judgement)

เมื่อความจริงยังไม่เด่นชัด,และยังหาเหตุผลไม่ได้เพียงพอ ใช้ความวินิจฉัยที่ถูกต้อง ไม่ลังเล ตัดสิน หากวินิจฉัยผิดพลาด เมื่อได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นก็วินิจฉัยใหม่ให้ถูกต้องและจดจำไว้เป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้ผิดซ้ำ (เรียนรู้จากข้อผิดพลาดเพื่อไม่วินิจฉัยผิด)

10.ไหวพริบ(Intuition)

ทราบได้โดยมิต้องไตร่ตรอง,สังเกตเห็นโดยไม่ต้องมีใครเตือน,ปฏิบัติการได้ทันท่วงที ฝึกหัดเทียบเคียง,คิดให้ลึกซึ้ง,จำสุภาษิต เป็นการคิดได้อย่างรวดเร็ว

11.การโต้เถียง(Argument)

เอาชนะโดยใช้เหตุผล,แยกข้อโต้เถียงออกเป็นข้อ,ไม่ควรโต้เถียง เมื่อมีโทสะ,เรื่องไม่เป็นแก่นสาร,เรื่องที่ตกลงกันไม่ได้,คนไม่มีความคิด

12.ความฉลาด(Intelligent)

รู้เห็นตามที่เป็นจริง,รู้จักเลือกเฟ้น,เป้าหมายของการฝึกมาทั้งหมด ฝึกแสดงความคิดเห็นของตนเอง,แสวงหาประโยชน์จากทุกสิ่งที่เห็น,มีอิสระทางความคิด,หัดเปรียบเทียบ

13.การแนะนำตนเอง(Auto-suggestion)

รู้จักตนเอง มีตนเป็นที่พึ่ง เช่น เรามีความจำดี,ทำใจเป็นสมาธิ,พูดออกมาและคิดสม่ำเสมอ

14.การชนะตนเอง(Self-control)
ที่ฝึกมาทุกข้อเพื่อการรู้จักฝืนใจตัวไม่ทำสิ่งที่ผิด ทำในสิ่งที่ถูก การชนะใจตนเองเป็นความชนะที่ดีที่สุด และแสดงถึงความฉลาดที่เกิดขึ้นในการควบคุมความคิดและการแสดงออกด้วยการพูดและการกระทำ

ที่เขียนมาอ่านแล้วอาจรู้สึกว่ายาก จะทำให้ง่ายก็โดยการฝึกสมองหัดสร้างความคิดให้เกิดแก่ตน เป็นการสรุปใจความสำคัญที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งต้องใช้ทุกหัวข้อที่วิเคราะห์แยกส่วนให้เข้าใจกระบวนการคิดรวมเข้าด้วยกัน ผู้ใดเข้าใจและนำไปใช้ได้ย่อมเกิดการพัฒนาทักษะการคิดอันนำไปสู่ความฉลาด สร้างความสุขแก่ตนโดยไม่ทำร้ายผู้อื่น

การเรียนรู้สู่ความเป็นอัจฉริยะนั้น ไม่เป็นการกำหนดขอบเขต หรือการกดขี่ทางความคิด ความฉลาดไม่สามารถกำหนดโดยตัวเลขหรือเครื่องมือวัดถุที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากความฉลาดไม่มีขอบเขต การเป็นอิสระที่จะคิดในเรื่องที่ควรคิดเป็นหนทางสู่ความเป็นอัจฉริยะซึ่งอาจคิดไม่เหมือนผู้อื่น หรือคิดในสิ่งที่คนทั่วไปคิดไม่ถึง ทีสำคัญคือการกำเนิดองค์ความรู้ใหม่ซึ่งเกิดศาสตร์สาขาต่างๆขึ้นมากมายรวมทั้งวิทยาศาสตร์ จากนักคิด อัจฉริยะยุคต่างๆจนถึงปัจจุบันและการประดิษฐ์คิดค้นสร้างสรรค์สิ่งต่างๆมากมาย ดังนั้นมนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองสู่ความเป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆที่ตนสนใจ

ยกตัวอย่างเช่น ศาสดาของศาสนาต่างๆ ที่คิดหาหนทางพ้นทุกข์ หาทางเพื่อความสุขสงบ โดยไม่ได้ไปศึกษาค้นคว้าที่สถาบันใดๆมาก่อนแต่ให้กำเนิดศาสนาซึ่งไม่มีผู้ใดเคยคิดมาก่อน จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องวัดไอคิวของอัจฉริยะเหล่านั้นที่ฉลาดกว่ามนุษย์ปัจจุบันซึ่งกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ไม่อาจกำหนดได้
นักวิทยาศาสตร์บางครั้งก็คิดเรื่องต่างๆสำเร็จได้ในเวลาที่ไม่ได้คิด

พัฒนาสมองสู่ความเป็นเลิศ อิสระทางความคิดที่ไร้ขอบเขต ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง คนทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันที่มีสมองมีความคิด การอบรมเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่อยากจะเป็นอัจฉริยะ และอัจฉริยะสร้างได้ทันที ที่รู้จักคิด

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

แนะนำการพัฒนาสมอง

สมองสามารถพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด เริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตสามารถเพิ่มประสิทธภาพสมองได้ วิชาการเพาะปลูกมันสมองมีมานานจากยุคโบราณ จนเข้าสู่ยุคปัจจุบัน ซึ่งการเรียนรู้มีความซับซ้อนมากขึ้น จากเดิมมีการสร้างโรงเรียน มหาวิทยาลัย พัฒนาจนเกิดการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเลกโทรนิกส์ (E-learning)โลกพัฒนามาเป็นลำดับ จากยุคโบราณที่ใช้กำลัง สงคราม การใช้สมองกับการใช้กำลังทหารมีคัมภีร์พิชัยสงครามเกิดขึ้นมากมาย(first wave:weapon power),ยุคกลาง การใช้ระบบการเงิน กับการใช้สมองสร้างความร่ำรวย นำไปสู่สงครามเศรษฐกิจ(Second wave:economic power)มีการพัฒนาระบบเศรษฐกิจขึ้น(ทุนนิยม) ,มาสู่โลกยุคปัจจุบัน สังคมข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี สงครามทางความคิด ความเชื่อ(Third wave:intelligent&technology power) ซึ่งไม่ว่ายุคใดสิ่งที่ทำให้มนุษย์เหนือกว่าสัตว์บนพื้นโลกนี้ คือ สมอง ดังนั้นประเทศใดจะเจริญก้าวหน้ากว่ากันอาจดูได้จากประชากรมีคุณภาพสมองดีเพียงใด ซึ่งโลกในอนาคตจะเข้าสู่ยุคแห่งสติปัญญา (the fourth wave:wisdom power) ผู้ชนะที่แท้จริงจะเป็นผู้มีสติปัญญา ความฉลาดในทุกด้าน ดังนั้นการพัฒนาสมองเป็นการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเพิ่มประชากรที่มีสมองดี คิดดี คิดถูกต้อง คิดอย่างรวดเร็ว แก้ไขเหตุที่ทำให้สมองใช้งานไม่เต็มที่ นำไปสู่การใช้สมองอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ศึกษาวิชานี้ไม่ต้องการประกาศนียบัตรรับรอง ผลที่ได้คือความฉลาด รู้จักเลือกเฟ้นสิ่งที่ดีมีประโยชน์แก่ตน วึ่งเมื่อเริ่มอ่านข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมองแก่ตนเองก็เริ่มต้นความฉลาด
การทำงานของสมองประกอบด้วย1.)การรับรู้ผ่านระบบประสาท 2.)การคิดวิเคราะห์ การสังเคราะห์ข้อมูล และ3.)ขั้นตอนสุดท้ายการตอบสนองด้วยการคิด การพูดหรือการกระทำ ผู้มีสมองดีจะรับรู้ คิด และตอบสนองได้ดี
การเรียนรู้จะดี การทำงานจะดี การใช้ชีวิตดี สุดท้ายมีความสุข
ประโยชน์ที่เห็นโดยตรงจากการวิจัยคือผู้เรียนมีผลการเรียนดีขึ้นกว่ากลุ่มที่เรียนรู้แบบเดิม(ฉลาดกว่าเดิม)
ผู้ที่สนใจจะพัฒนาสมองตนเองสามารถเริ่มต้นได้ทันที และควรฝึกสมองเป็นประจำทุกวันจนกว่าจะสิ้นชีวิต ควรตั้งใจ ไม่หักโหม ไม่ใช้สมองขณะอ่อนล้า พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่เสพสิ่งที่เป็นโทษแก่สมอง ทำอารมณ์ให้เบิกบานไม่ขุ่นมัว
เหตุที่ทำให้สมองไม่ดี จาก กรรมพันธุ์(สมองพิการ ปัญญาอ่อน) ขาดการอบรม ดังนั้นสมองที่ไม่พิการสามารถพัฒนาได้ รายละเอียดอยู่ในเวบebrain1.com ซึ่งจะนำมาบรรยายต่อไป
การสร้างเวบเพื่อสร้างความฉลาด ไม่มุ่งแสวงผลประโยชน์ เป็นไปเพื่อพัฒนาประชากรสำหรับยุคอนาคต(The wisdom world)