วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การพัฒนาสมองกับการรักษาโรคทางสมอง

การพัฒนาสมอง ขั้นพื้นฐาน เพื่อการอยุ่รอดตอบสนองความต้องการ การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
ขั้นสูง พัฒนาพลังคลื่นสมอง(พลังจิต) ความเป็นอัจฉริย
เพื่อการการรักษาโรค ฟื้นฟูสภาพเซลล์
ดังกล่าวในตอนต้นถึงการวิเคราะห์วิธีการฝึกสมอง โดยเฉพาะการเข้าใจตนเอง(Autosuggestion) และลำดับขั้นในการฝึกเพื่อให้เข้าใจง่าย การรักษาโรคทางสมองหลายโรค ทั้งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และเกิดขึ้นในภายหลัง เช่น บาดเจ็บที่สมอง โรคติดเชื้อ เนื้องอก สมองเสื่อม สามารถป้องกันและรักษาโรคทางสมองได้ด้วยการพัฒนาสมอง สมองมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากอวัยวะอื่นๆ และควบคุมอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย โดยพลังงานไฟฟ้า สารเคมี ฮอร์โมน การสั่งการในระดับเซลล์หรือพันธุกรรมเกิดจากการควบคุมโดยกระบวนการพื้นฐานของเซลล์และระบบประสาท การพัฒนาสมองสามารถกระตุ้นระบบการทำงานระดับเซลล์หรือการเปลี่ยนแปลงด้านพันธุกรรม นอกจากปัจจัยภายนอกที่ก่อให้เกิดโรค มีโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของสมองที่กระทบต่อระบบต่างๆของร่างกาย เช่น ภาวะเครียดเกิดการหลั่งสารเคมีต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคกระเพราะอาหารเป็นแผล อาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดแตกในสมอง โรคหัวใจ ภาวะแปรปรวนของจิตประสาท เป็นต้น การฝึกพัฒนาสมองสามารถที่จะเปลี่ยนระบบพันธุกรรม เพิ่มอายุขัยของเซลล์ เพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์ และป้องกันการแปรปรวนทางพันธุกรรม(Mutation)ไปในทางที่ส่งผลร้ายเช่นการเกิดเซลล์เนื้องอก ทำให้เกิดการเปลี่ยนพันธุกรรมไปในทางที่ดีคือยืดอายุ เพิ่มประสิทธิภาพฟื้นฟูเซลล์ โดยการเปลี่ยนปัจจัยภายในจากพลังคลื่นสมองเซลล์ประสาทที่ควบคุมทุกระบบของร่างกายรวมทั้งระบบพันธุกรรมที่มีผลต่อเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย
การพัฒนาสมองเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์ และฝึกซ้ำๆจนเกิดความชำนาญทำให้ระบบเซลล์ประสาทเกิดการเชื่อมต่อภายในระบบประสาทและอวัยวะต่างๆ มีการรับรู้ภายใน และภายนอกร่างกาย มีกระบวนการคิด การตอบสนองที่เป็นไปในทางที่ดี จนกระทั่งบรรลุวัตถุประสงค์ประสบความสำเร็จตามต้องการ
ยกตัวอย่าง ความผิดปกติทางพันธุกรรมแต่กำเนิด เด็กปัญญาอ่อน สามารถฝึกพัฒนาสมองให้มีระดับสติปัญญาใกล้เคียงเด็กปกติได้
ผู้ป่วยบาดเจ็บที่สมองรุนแรงที่สมองซีกซ้ายซึ่งเป็นสมองด้านที่เด่นและควบคุมด้านภาษา มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีกขวา เดินไม่ได้ เขียนหนังสือไม่ได้ พูดไม่ได้ ต่อมาได้รับการพัฒนาสมองให้ฝึกระบบประสาทหัดเขียนด้วยมือซ้าย(Retraining of neurone) การให้กำลังใจ(Mental Reinforcement&support)ผู้ป่วยสามารถกลับมาพูดได้ เขียนได้ทั้งสองมือทั้งซ้ายและขวา เดินได้ ดำรงชีวิตได้ตามปกติภายในระยะเวลา1ปี ซึ่งเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายของแพทย์ท่านอื่น แต่ไม่ใช่สิ่งแปลกสำหรับผู้เขียน ความเข้าใจสมองในระดับเซลล์และกระบวนการทำงานของสมองทำให้รู้ว่าแม้แต่สมองที่พิการก็สามารถพัฒนา ฟื้นฟูสภาพเซลล์โดยไม่ต้องพึ่งยา หรือสารเคมี หากผู้ป่วยมีศรัทธาต่อแพทย์ผู้รักษา(ผู้เขียน)และปฏิบัติตามคำแนะนำในการพัฒนาสมองก็สามารถเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ดังกล่าวได้จริง
ภาวะสมองเสื่อมและเนื้องอกสามารถป้องกันและยับยั้งได้จริงโดยการฝึกระบบประสาทพัฒนาสมองเพื่อสร้างภูมิต้านทานการแปรปรวนทางพันธุกรรมในทางเสื่อม และการขาดการควบคุมระดับเซลล์ป้องกันการแบ่งตัวที่ผิดปกติ การคิดในทางที่ดีหลีกเลี่ยงสารที่เป็นพิษและก่อให้เกิดผลร้ายต่อร่างกาย
เป็นเรื่องมหัศจรรย์,ปาฏิหารย์หรือสิ่งที่เหลือเชื่อที่เกิดนับครั้งไม่ถ้วนในการรักษาโรคทางสมอง ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือการค้นหาความจริงจากธรรมชาติ ที่การพัฒนาสมองมีผลต่อพันธุกรรมอันยังผลให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงต่างๆรักษาโรคต่างๆ และยืดอายุมนุษย์ การะบวนการคิดสร้างอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการรักษาและการคิดค้นยา,วิธีรักษาเกิดจากสมองที่มีประสิทธิภาพ
การเข้าในตนเองและการแนะนำตนเองทำให้เกิดการคิดซ้ำๆ ทำให้เป็นไปตามที่ต้องการ เช่นคิดว่าพัฒนาสมองได้ เก่งได้ ฉลาดได้ รวยได้ สุขภาพแข็งแรง คิดต่อตนเองในทางที่ดีบ่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงคลื่นสมองที่เป็นพลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะภายนอกได้เมื่อมีพลังงานเพียงพอ(คนส่วนใหญ่เรียกว่าพลังจิต)และทำให้เกิดความเชื่อมั่นที่จะคิดการณ์ต่างๆเพื่อประสบความสำเร็จตามต้องการดังกล่าว
อัจฉริยภาพเกิดขึ้นได้โดยอิสระ ไม่จำกัดเพศ อายุ เชื้อชาติ สถานที่ เวลา การเรียนรู้พัฒนาสมองเกิดได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานที่ เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ คนป่วย สามารถพัฒนาสมองได้ตลอดเวลา เพื่อให้มนุษย์ทุกคนรู้จักคำว่าฉลาด หรืออัจฉริยที่แท้จริง ไม่จำกัดด้วยเวลา สถานที่ สามารถพัฒนาสมองที่ข้างถนนได้ เช่น คนโง่ข้างถนนฟังคำสอนด้วยความเชื่อมั่นอัจฉริยบุคคล สารถเข้าใจและฉลาดเป็นอัจฉริยเพียงคำพูดไม่กี่ประโยคในเวลาไม่นาน

สำหรับคนป่วยที่พิการแล้วพัฒนาสมองจนพ้นความพิการจะได้ค้นพบความฉลาดหรืออัจฉริยภาพในตัวเองที่ฟื้นฟูสภาพสู่ความเป็นปกติและยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง

ความฉลาดไม่ขึ้นกับประกาศนียบัตรรับรอง อัจฉริยภาพไม่มีขอบเขตให้ใช้เครื่องมือวัด

ความเข้าใจรู้เห็นความจริงตามธรรมชาติเป็นอัจฉริย หรือความฉลาดที่แท้จริง เมื่อใดเข้าใจ เมื่อนั้นฉลาด
เป็นเรื่องที่ง่ายมากที่คนไปทำให้ยุ่งยากเสียเวลากับกระบวนการเรียนรู้ เข้าสู่กระบวนการพัฒนาสมองมุ่งสู่ความฉลาด อัจฉริยภาพ ดังเช่นที่ผู้อ่าน เริ่มอ่านบทความนี้ก็เริ่มต้นเพาะปลูกความฉลาด

สำหรับเด็กนักเรียนที่ต้องการฉลาดย่อมจะฉลาดได้จริงรู้ในสิ่งที่ควรรู้และต้องรู้สามารถตอบปัญหาได้อย่างง่ายดาย ผลการเรียนดีมากคะแนนสูง โดยกระบวนการดังที่บรรยายไปแล้วและจะบรรยายต่อไป
คนเราเกิดมาเท่าเทียมกัน มีสมองเหมือนกันต่างกันที่ใครจะรู้จักวิธีใช้สมองดีกว่ากัน เริ่มการพัฒนาสมองได้ตั้งแต่ปัจจุบัน